Logo
  • หน้าหลัก
  • ประวัติ
  • ผลงานวิชาการ
  • ผลงานอื่นๆ
    • หนังสือ
    • Powerpoint
    • สัมภาษณ์รายการต่างๆ
    • บทความอื่นๆ
  • Blog
  • Gallery ภาพส่วนตัว
  • ติดต่อ
Copyright, 2015 : drprapat.com - All rights reserved.
August 15, 2012
รศ.ดร.ประภัสสร์ เทพชาตรี
บทความ
0

ความสัมพันธ์อาเซียน-สหรัฐ ปี 2020

PreviousNext

ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์
ฉบับวันที่ 17 พฤษภาคม 2555

คอลัมน์กระบวนทรรศน์ในวันนี้ จะวิเคราะห์ถึงความสัมพันธ์อาเซียนกับสหรัฐในปี 2030 โดยในตอนแรก จะวิเคราะห์ว่า อาเซียนปี 2030 จะมีลักษณะอย่างไร และสหรัฐจะมียุทธศาสตร์รองรับอย่างไร และอาเซียนจะมียุทธศาสตร์อย่างไรต่อสหรัฐ

อาเซียนในปี 2030 

ปัจจุบัน อาเซียนเป็นตลาดใหญ่ของสหรัฐ โดยเป็นประเทศคู่ค้าอันดับ4 มูลค่าการลงทุนของสหรัฐในอาเซียนมีมูลค่าเกือบ 3 เท่าของการลงทุนในจีน และกว่า 9 เท่าของการลงทุนในอินเดีย อย่างไรก็ตาม สหรัฐได้สูญเสีย market share ในอาเซียน จาก 20 % ในปี 1998 เหลือเพียง 9% ในปี 2010

ในปี 2030 อาเซียนจะมีขนาดเศรษฐกิจประมาณ 6.5 ล้านล้านเหรียญ ADB ได้คาดการณ์ว่าในปี 2030 ประชากรในอาเซียนจะเพิ่มขึ้นเป็น 700 ล้านคน และอาเซียนจะกลายเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงที่สุดในโลก

นอกจากนั้นในปี 2030 อาเซียนก็คงจะวิวัฒนาการเป็นประชาคมอาเซียนอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว โดยมีความเป็นไปได้ว่า อาเซียนอาจจะก้าวข้ามการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนไปเป็นสหภาพเศรษฐกิจอาเซียนแล้ว

ปี 2030 คาดว่า อาเซียนจะกลายเป็นแกนกลางของสถาปัตยกรรมในภูมิภาค โดยมีอาเซียนเป็นแกนและมีกรอบความร่วมมือต่างๆล้อมรอบอาเซียน ทั้งอาเซียน+1 อาเซียน +3  และ East Asia Summit

โดยที่อาเซียนไม่ได้เป็นมหาอำนาจซึ่งต่างจากบทบาทของ จีน อินเดีย ญี่ปุ่น สหรัฐ มหาอำนาจต่างๆจึงยอมให้อาเซียนเป็นแกนกลางของสถาปัตยกรรม ที่ผ่านมา อาเซียนมี FTA กับมหาอำนาจต่างๆ (ยกเว้น สหรัฐ) อาเซียนได้กลายเป็นศูนย์กลางของบูรนาการทางเศรษฐกิจในภูมิภาค เป็นศูนย์กลางของการเชื่อมโยง ( connectivity) และโครงสร้างพื้นฐาน โดยในปี 2030 การเชื่อมต่อทางด้านโครงสร้างพื้นฐานโดยเฉพาะเส้นทางคมนาคมขนส่ง คงจะเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น  โดยมีความเป็นไปได้ว่า เราจะสามารถขับรถจากกรุงจาการ์ตาไปกรุงปักกิ่งได้ และเป็นไปได้ว่า East-West Corridor and North-South Corridor คงจะคืบหน้าไปมาก ซึ่งจะทำให้ไทยกลายเป็นศูนย์กลางทางด้าน logistics และการคมนาคมขนส่งในภูมิภาค

สำหรับสถาปัตยกรรมความมั่นคงในภูมิภาค ในปี 2030 ก็คงจะเปลี่ยนแปลงไปมาก โดยเฉพาะการผงาดขึ้นมาทางทหารของจีนและอินเดีย ซึ่งอาจจะมีงบประมาณทางทหารสูงถึงกว่าล้านล้านเหรียญ นอกจากนี้ เทคโนโลยีทางทหารของจีนและอินเดียก็คงจะก้าวหน้าไปมาก อาเซียนเองก็คงจะพยายามเพิ่มบทบาทในด้านความมั่นคงมากขึ้น โดยเฉพาะการจัดตั้งประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน และขยายความร่วมมือทางทหารของอาเซียน เพื่อพยายามถ่วงดุลอำนาจทางทหารกับมหาอำนาจอื่นๆ

ยุทธศาสตร์ของสหรัฐ

จากแนวโน้มดังกล่าว Center for Strategic and International Studies หรือ CSIS ซึ่งเป็น think tank สำคัญของสหรัฐ ได้เขียนบทวิเคราะห์แนวโน้มดังกล่าวและได้เสนอว่า สหรัฐควรมียุทธศาสตร์ใหม่เพื่อรองรับ อาเซียน 2030 โดยมองว่า ขณะนี้สหรัฐไม่มีกรอบความร่วมมือทางการค้ากับอาเซียนชัดเจน สหรัฐกำลังผลักดัน FTA ที่มีชื่อว่า Trans-Pacific Partnership หรือ TPP อย่างไรก็ตาม TPP มีประเทศอาเซียนที่เข้าร่วมเพียง 4 ประเทศ คือ เวียนนาม สิงคโปร์ มาเลเซีย และบรูไน โดย TPP กำหนดไว้ว่า สมาชิกจะต้องเป็นสมาชิก APEC แต่โดยที่ลาว พม่า และกัมพูชาไม่ได้เป็นสมาชิก APEC จึงไม่สามารถเข้าร่วม TPP ได้ นอกจากนี้ สหรัฐก็ไม่ได้เป็นผู้เล่นสำคัญในโครงการโครงสร้างพื้นฐานในภูมิภาค ผิดกับในอดีต โดยเฉพาะในสมัยสงครามเย็น ที่บริษัทก่อสร้างสหรัฐมีบทบาทสำคัญในโครงสร้างพื้นฐานในภูมิภาค ปัจจุบัน บริษัทสหรัฐจะมีบทบาทโดดเด่นในด้าน soft infrastructure เท่านั้น คือด้านสารสนเทศ ธนาคาร และระบบการเงิน  CSIS จึงเสนอว่า ถึงเวลาแล้วที่สหรัฐจะต้องปรับยุทธศาสตร์ใหม่ต่อภูมิภาคโดยเฉพาะยุทธศาสตร์ด้านการค้า

อย่างไรก็ตาม สหรัฐยังมีจุดแข็งทางด้านการทหารและความมั่นคง โดยในช่วงที่ผ่านมา ประเทศในเอเชียได้ให้ความสำคัญต่อบทบาททางทหารของสหรัฐมากขึ้น ปัจจัยสำคัญคือ การผงาดขึ้นมาของจีนทางด้านเศรษฐกิจ ทำให้จีนเริ่มมีนโยบายต่างประเทศที่แข็งกร้าวและก้าวร้าวมากขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องที่เกี่ยวกับอำนาจอธิปไตย อาทิ กรณีความขัดแย้งในทะเลจีนใต้ ซึ่งทำให้หลายประเทศเริ่มไม่ไว้ใจจีน จึงพยายามดึงสหรัฐเข้ามาในภูมิภาคเพื่อถ่วงดุลจีน อย่างไรก็ตาม ในปี 2030 อำนาจทางทหารของจีนจะเพิ่มขึ้นมาก CSIS จึงได้เสนอว่าสหรัฐจะต้องรีบลงทุนในการสร้างกรอบความมั่นคงในภูมิภาคใหม่ โดยการขยายและกระชับความสัมพันธ์กับพันธมิตรและหุ้นส่วนทั่วภูมิภาค

CSIS ย้ำว่า สหรัฐจะต้องรีบลงทุนเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับอนาคต ด้วยการเพิ่มการปฏิสัมพันธ์กับอาเซียน โดยจะต้องมีการกำหนดวิสัยทัศน์และแนวคิดใหม่ๆสำหรับยุทธศาสตร์ต่ออาเซียนในอนาคต

ข้อเสนอยุทธศาสตร์อาเซียนต่อสหรัฐ

จากการวิเคราะห์แนวโน้มอาเซียนในปี 2030 ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า อาเซียนกำลังจะผงาดขึ้นมาเป็นตัวแสดงสำคัญในเวทีภูมิภาค และในเวทีโลก ผมมองว่า อาเซียนจะผงาดขึ้นมาเป็นแกนกลางของสถาปัตยกรรมในภูมิภาค อำนาจการต่อรองของอาเซียนจะมีมากขึ้น โดยสถาปัตยกรรมในภูมิภาคน่าจะมีลักษณะเป็นระบบลูกผสม ที่เป็นการเหลื่อมทับกันระหว่างระบบหนึ่งขั้วอำนาจ ที่มีสหรัฐเป็นแกนกลางของระบบ กับระบบหลายขั้วอำนาจ ที่จะมีจีนกับอินเดียผงาดขึ้นมา และระบบพหุภาคี ที่จะมีอาเซียนเป็นแกนกลางของระบบ ดังนั้นยุทธศาสตร์อาเซียนต่อสหรัฐจึงควรตั้งอยู่บนพื้นฐานของระบบในอนาคตที่จะมีลักษณะเป็นลูกผสม โดยยุทธศาสตร์หลักของอาเซียนต่อสหรัฐคือ จะต้องดึงสหรัฐให้ปฏิสัมพันธ์กับอาเซียน เพื่อให้ระบบที่มีสหรัฐเป็นแกน กับระบบที่มีอาเซียนเป็นแกน อยู่คู่กันได้ ขณะเดียวกัน อาเซียนก็ควรดึงสหรัฐมาถ่วงดุลการผงาดขึ้นมาของจีน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดระบบหลายขั้วอำนาจ ซึ่งในระบบหลายขั้วอำนาจ มหาอำนาจจะเป็นตัวแสดงหลัก ซึ่งจะไม่เป็นผลดีต่ออาเซียน แต่อาเซียนก็ต้องระมัดระวังในการปฏิสัมพันธ์กับสหรัฐ โดยจะต้องไม่เผลอที่จะให้สหรัฐฉวยโอกาสครอบงำสถาปัตยกรรมในภูมิภาคแต่เพียงผู้เดียว

ผมขอสรุปยุทธศาสตร์ของอาเซียนต่อสหรัฐ (ซึ่งก็จะเป็นยุทธศาสตร์อาเซียนต่อมหาอำนาจอื่นๆด้วย) ดังนี้

  • ยุทธศาสตร์หลักของอาเซียนคือ ยุทธศาสตร์ปฏิสัมพันธ์บวกกับยุทธศาสตร์การถ่วงดุลอำนาจในลักษณะsoft balancing
  • อาเซียนต้องสร้างความสัมพันธ์กับสหรัฐและมหาอำนาจอื่นๆในลักษณะที่มีดุลยภาพโดยไม่ใกล้ชิดกับมหาอำนาจหนึ่งมหาอำนาจใดมากเกินไป
  • อาเซียนจะต้องมีเอกภาพในการกำหนดท่าทีต่อสหรัฐและมหาอำนาจอื่นๆ ในอดีต อาเซียนมักจะถูกแบ่งแยกและปกครองมาโดยตลอด และอาเซียนมักจะมีท่าทีที่แตกแยกและขัดแย้งกัน
  • ต้องผลักดันให้อาเซียนเป็นแกนกลางของสถาปัตยกรรมในภูมิภาค โดยดึงสหรัฐและมหาอำนาจอื่นๆเข้ามาในเวทีอาเซียนอย่างสมดุล ทั้งในกรอบ อาเซียน+1 อาเซียน+3 และ EAS
  • สำหรับยุทธศาสตร์ทางด้านเศรษฐกิจ ยุทธศาสตร์หลักคือ การทำให้อาเซียนเป็นแกนกลางของสถาปัตยกรรมทางเศรษฐกิจในภูมิภาค โดยเน้นทำ FTA กับสหรัฐและมหาอำนาจอื่นๆ โดยเฉพาะในกรอบ อาเซียน +1 อาเซียน +3 และ EASโดยอาเซียนจะต้องพยายามป้องกันไม่ให้สหรัฐขยายบทบาทของ TPP ซึ่งจะมาแข่งกับ FTA ของอาเซียน
  • สำหรับบทบาทของไทยในความสัมพันธ์อาเซียน-สหรัฐนั้น ไทยจะต้องผลักดันให้สหรัฐและมหาอำนาจอื่นๆใช้ไทยเป็นประตูสู่อาเซียน และเป็น hub หรือศูนย์กลางของอาเซียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการผลักดันให้สหรัฐและมหาอำนาจอื่นๆสนับสนุนให้ไทยเป็นศูนย์กลางของ ASEAN Connectivity โดยไทยจะเป็นศูนย์กลางทางด้าน logistics การคมนาคมขนส่งและโครงสร้างพื้นฐานของอาเซียน
อาเซียน-สหรัฐ ปี 2020
Share this

The Author รศ.ดร.ประภัสสร์ เทพชาตรี

0 Comments General

Leave A Comment Cancel reply

94 − 91 =

 
รศ.ดร.ประภัสสร์ เทพชาตรี ศ.ดร.ประภัสสร์ เทพชาตรี ปัจจุบันเป็นศาสตราจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้บรรยายพิเศษในสถาบันต่างๆ อาทิ วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร สถาบันพระปกเกล้า มีงานเขียน งานวิจัย ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และมีคอลัมน์ประจำ "กระบวนทรรศน์" ในหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์และคอลัมน์ประจำ "โลกทรรศน์" ในสยามรัฐสัปดาห์วิจารณ์
  • หนังสือ "ยุทศาสตร์สหรัฐฯต่อเอเชียตะวันออกเฉียงใต้"

  • หนังสือ "ประชาคมเอเชียตะวันออก"

  • หนังสือ "ประชาคมอาเซียน"

  • หนังสือ "สถานการณ์โลกปี 2553 และแนวโน้มปี 2554"

  • ปกนโยบายต่างประเทศ-USA-แก้-2557-07-28-at-3.05.01-PM

1/4

Calendar

April 2021
M T W T F S S
« Apr    
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
2627282930  

Blog

drprapat-header-3

LINKS

คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์อาเซียนศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์อาเซียนศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์ศึกษานโยบายระหว่างประเทศ (CIPS) ศูนย์ศึกษานโยบายระหว่างประเทศ (CIPS)

Tags

AEC al-Qaeda APEC ARF ASEAN Clinton Donald Trump EAS EU eurozone FTA G-20 ISIS Obama the rise of China TPP UN UNSC WTO การก่อการร้าย การต่างประเทศของไทย การประชุมสุดยอดอาเซียน-สหรัฐฯ ความขัดแย้ง ความขัดแย้งทะเลจีนใต้ ความมั่นคง จีน ตะวันออกกลาง ประชาคมอาเซียน ประเทศมหาอำนาจ พม่า ยุทธศาสตร์สหรัฐฯ รัสเซีย วิกฤต Eurozone สงคราม สงครามการค้า สหรัฐ สหรัฐอเมริกา สหรัฐฯ อัฟกานิสถาน อาเซียน อิหร่าน เกาหลีเหนือ เศรษฐกิจ เอเชีย ไทย