ประธานาธิบดี Donald Trump: ผลกระทบต่อโลก ผลกระทบต่อไทย(ตอนที่ 5 )

คอลัมน์กระบวนทรรศน์ในวันนี้ จะวิเคราะห์จุดอันตรายหลายจุด ที่อาจนำไปสู่ความปั่นป่วนวุ่นวายหาก Trump ดำเนินนโยบายที่สุดโต่งของเขา ดังนี้
อิสลาม
ในตอนหาเสียงเลือกตั้ง Trump ได้เปิดเผยถึงการมองอิสลามในเชิงลบเป็นอย่างมาก Trump ประกาศที่จะไม่ให้ชาวมุสลิมเข้าประเทศ โดยบอกว่า สหรัฐกำลังเผชิญกับภัยคุกคามที่อันตรายที่สุด จากมุสลิมหัวรุนแรง เขากล่าวว่า มุสลิมหัวรุนแรงจะต้องถูกยับยั้งและไม่ให้ระบาดเข้ามาในประเทศสหรัฐ
และเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว Trump ก็ได้ออกคำสั่งห้ามชาวมุสลิมจาก 7 ประเทศที่เป็นประเทศมุสลิมเข้าประเทศ ดังนั้น แนวคิดต่อต้านอิสลามของ Trump กำลังจะกลายเป็นแกนหลักในนโยบายต่างประเทศสหรัฐ ซึ่งนับว่าเป็นอันตรายอย่างยิ่ง ที่จะทำให้ตะวันตกกับอิสลามขัดแย้งกันหนักขึ้น นำไปสู่การปะทะกันทางอารยธรรมหรือ The Clash of Civilizations และจะยิ่งทำให้ปัญหาการก่อการร้ายลุกลามบานปลายหนักขึ้น
ISIS
มาตรการต่อต้านการก่อการร้ายของ Trump เช่นการห้ามชาวมุสลิมเข้าประเทศ การใช้กำลังทหารบดขยี้ ISIS การทิ้งระเบิดบ่อน้ำมันในอิรัก และการสังหารครอบครัวของนักรบ ISIS มาตรการเหล่านี้จะยิ่งทำให้ปัญหาการก่อการร้ายลุกลามบานปลายกันไปใหญ่
ในสมัยของรัฐบาล Obama ดินแดนที่ถูก ISIS ยึดครอง ได้ถูกยึดกลับคืนมาได้ไม่น้อย อย่างไรก็ตาม ยังมีนักรบ ISIS หลายหมื่นคน และ ISIS ก็กำลังพยายามที่จะตอบโต้กลับและจะขยายบทบาทการก่อการร้ายไปทั่วโลก สำหรับ Trump ก็เพียงแต่พูดกว้างๆว่า จะจัดการ ISIS ให้สิ้นซาก แต่ก็ยังไม่มีมาตรการอะไรที่เป็นรูปธรรม แต่ผมเดาว่า ในที่สุด มาตรการน่าจะออกมาในลักษณะสุดโต่ง ซึ่งยิ่งจะทำให้ปัญหาเลวร้ายลง
อิสราเอล-ปาเลสไตน์
อีกเรื่องหนึ่งในตะวันออกกลาง ที่น่าจะยิ่งลุกลามบานปลาย คือ ปัญหาความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ Trump สัญญาว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงในนโยบายของสหรัฐครั้งใหญ่ต่อปัญหานี้ แล้วเขาก็ได้เริ่มการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่แล้ว ด้วยการประกาศจะย้ายสถานทูตสหรัฐในอิสราเอล จากกรุง Tel Aviv ไปตั้งใหม่ที่ กรุง Jerusalem ซึ่งการย้ายสถานทูตดังกล่าว น่าจะก่อให้เกิดผลกระทบไปทั่วตะวันออกกลาง และน่าจะทำให้ความขัดแย้งทวีความรุนแรงมากขึ้น เพราะชาวอาหรับและปาเลสไตน์ไม่พอใจเป็นอย่างมาก และการย้ายสถานทูตก็เท่ากับเป็นการยุติบทบาทการเป็นคนกลางของสหรัฐ ในการเจรจาการแก้ไขปัญหานี้ โดยการย้ายสถานทูตไปกรุง Jerusalem ก็เท่ากับเป็นการที่สหรัฐไม่เป็นกลางเข้าข้างอิสราเอลอย่างชัดเจน
สงครามนิวเคลียร์
และเมื่อไม่กี่วันมานี้ องค์กรที่มีชื่อว่า Bulletin of the Atomic Scientists ได้ขยับ “นาฬิกาวันสิ้นโลก” หรือ Doomsday Clock เข้าใกล้เวลาเที่ยงคืนอีก 30 วินาที (เวลาเที่ยงคืนคือเวลาของวันสิ้นโลก ที่จะเกิดสงครามนิวเคลียร์) เหตุผลสำคัญที่มีการเลื่อนขยับเวลา และชี้ให้เห็นถึงโอกาสที่จะเกิดสงครามนิวเคลียร์มากขึ้น ก็เพราะ Trump ได้เป็นประธานาธิบดีของสหรัฐ และมีแนวโน้มจะมีนโยบายสุดโต่งเกี่ยวกับอาวุธนิวเคลียร์ โดย Trump ได้ประกาศหลายครั้งว่า พร้อมที่จะแข่งขันสะสมอาวุธนิวเคลียร์กับประเทศอื่นๆ และพร้อมที่จะใช้อาวุธนิวเคลียร์ รวมทั้งสนับสนุนญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ให้พัฒนาอาวุธนิวเคลียร์แข่งกับเกาหลีเหนือ
เกาหลีเหนือ
สำหรับเกาหลีเหนือ ได้ทดลองอาวุธนิวเคลียร์เป็นครั้งที่ 5 ในเดือนกันยายนที่ผ่านมา และเมื่อวันที่ 1 มกราคม ปีนี้ คิมจองอึน ผู้นำเกาหลีเหนือก็ได้ประกาศว่า เกาหลีเหนือกำลังเตรียมที่จะทดสอบขีปนาวุธพิสัยไกล ที่สามารถติดหัวรบอาวุธนิวเคลียร์ ยิงไปได้ไกลถึงแผ่นดินใหญ่ของสหรัฐ ซึ่งหลังจากการประกาศของคิมจองอึน Trump ก็ได้ทวิตตอบโต้ว่า สหรัฐจะไม่ยอมให้เกาหลีเหนือทดสอบขีปนาวุธดังกล่าว
Trump เคยเรียกผู้นำเกาหลีเหนือว่า maniac หรือคนบ้า และ Trump ก็เคยมีข้อเสนอให้โจมตีเกาหลีเหนือด้วยกำลังทหาร ดังนั้น ผมเดาว่า อีกไม่นาน วิกฤตการณ์เกาหลีเหนือก็คงจะเกิดขึ้น ซึ่งนับเป็นจุดอันตรายต่อโลกอย่างมากอีกจุดหนึ่ง
อิหร่าน
Trump ต่อต้านข้อตกลงนิวเคลียร์ที่ Obama ทำกับอิหร่าน โดยบอกว่า เป็นข้อตกลงที่เลวร้ายมาก ทำให้อเมริกาเสียเปรียบ และคุกคามอิสราเอล Trump ไม่เห็นด้วยกับการยกเลิกการคว่ำบาตรอิหร่าน โดยบอกว่าจะหยุดยั้งการมีอาวุธนิวเคลียร์ของอิหร่านด้วยมาตรการทางทหารและเศรษฐกิจ ดังนั้น ปัญหาอิหร่านก็อาจจะลุกลามบานปลายไปได้เช่นกัน
และเมื่อไม่กี่วันมานี้ อิหร่านได้ทดลองยิงขีปนาวุธพิสัยกลางทีมีชื่อว่า Shahab โดยอิหร่านคงอยากจะลองทดสอบดูว่า Trump จะมีปฏิกิริยาอย่างไร และ Trump จะฉีกข้อตกลงปี 2015 ที่ Obama ทำไว้กับอิหร่านหรือไม่
Trump มีแนวโน้มที่จะมีมาตรการสุดโต่งกับอิหร่าน และพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับอิหร่าน ซึ่งก็สุ่มเสี่ยงที่จะทำให้เกิดความขัดแย้งและสงครามขึ้นได้
โดยเมื่อไม่กี่วันมานี้ รัฐบาล Trump ก็ได้ประกาศมาตรการคว่ำบาตรอิหร่านไปแล้ว เพื่อเป็นการลงโทษอิหร่านในการทดลองขีปนาวุธ Trump ได้เคยพูดว่า เขาอยากจะเจรจาข้อตกลงกับอิหร่านใหม่ แต่อิหร่านก็คงจะไม่เอาด้วย ดังนั้น สถานการณ์ก็น่าจะเข้าสู่ภาวะแห่งการเผชิญหน้ากันระหว่างสองประเทศในอนาคต
จีน
Trump มีแนวนโยบายจะเสริมสร้างกำลังทางทหารในทะเลจีนใต้และทะเลจีนตะวันออก เพื่อปิดล้อมจีนและป้องกันจีนไม่ให้ครอบงำภูมิภาค Trump มีท่าทีเป็นปฏิปักษ์ต่อจีนเป็นอย่างมาก โดยมองว่าสินค้าราคาถูกจากจีน ทำให้ต้องปิดโรงงานอเมริกันหลายหมื่นแห่ง และทำให้คนอเมริกันตกงานหลายล้านคน
ในช่วงที่ผ่านมา รัฐบาล Trump ก็ได้ประกาศนโยบายต่อจีนหลายเรื่องที่น่าจะนำไปสู่ความขัดแย้งโดยเฉพาะในเรื่องทะเลจีนใต้ ซึ่ง Rex Tillerson รัฐมนตรีต่างประเทศคนใหม่ ก็ได้ประกาศกร้าว ในสภาสูงของสหรัฐว่า สหรัฐพร้อมที่จะป้องกันไม่ให้จีนเข้าถึงเกาะเทียมที่จีนสร้างขึ้นในทะเลจีนใต้ การประกาศดังกล่าวของ Tillerson ก็เท่ากับเป็นการประกาศสงครามกับจีนนั่นเอง
และนอกจากนี้ ก่อนหน้านี้ Trump ก็ได้ทำให้จีนโกรธมาก โดยได้โทรศัพท์สายตรงคุยกับประธานาธิบดีไต้หวัน และยังบอกด้วยว่า อาจจะไม่ยอมรับนโยบายจีนเดียว การกระทำของ Trump อาจจะเป็นความพยายามที่จะมีมาตรการที่แข็งกร้าวต่อจีนมากขึ้น โดย Trump อาจจะลองทดสอบดูว่า ถ้ามีมาตรการที่แข็งกร้าวต่อจีน จีนจะยอมอ่อนข้อให้สหรัฐหรือไม่
อย่างไรก็ตาม จีนมีปฏิกิริยาที่ไม่ได้มีท่าทีอ่อนลงเลย แต่กลับมีท่าทีแข็งกร้าวมากขึ้น โดยเฉพาะกรณีไต้หวันและกรณีทะเลจีนใต้ นอกจากนี้ จีนยังตอบโต้สหรัฐหลายเรื่อง อาทิ การยึดเครื่องบินไร้คนขับหรือ drone ของสหรัฐในทะเลจีนใต้ การส่งเรือบรรทุกเครื่องบินเข้าไปในช่องแคบไต้หวัน และข่มขู่บริษัทผลิตรถยนต์ของสหรัฐในจีน
จุดอันตรายคือ สหรัฐและจีนกำลังเดินหน้าไปสู่การเผชิญหน้าและความขัดแย้ง ถึงขั้นสงคราม ซึ่งแนวโน้วเหล่านี้ นับว่าเป็นจุดอันตรายอย่างยิ่งต่อโลกและต่อภูมิภาคเอเชีย
สงครามการค้าโลก
จุดอันตรายสุดท้าย คือ แนวโน้มสงครามการค้าโลก โดย Trump มีท่าทีต่อต้านโลกาภิวัตน์และการค้าเสรีเป็นอย่างมาก โดยมองว่า FTA เป็นหายนะ NAFTA ก็เป็นหายนะ ทำให้คนอเมริกันตกงาน เขาจะเจรจา NAFTA ใหม่หรือยกเลิกไปเลย และต่อต้าน TPP อย่างเต็มที่ นโยบายต่อต้านการค้าเสรีเช่นนี้ จะทำให้สหรัฐเป็นประเทศที่กีดกันทางการค้าอย่างหนัก และจะนำไปสู่สงครามการค้า โดย Trump มีนโยบายที่จะใช้มาตรการทางเศรษฐกิจเล่นงานประเทศต่างๆ ซึ่งก็จะทำให้เศรษฐกิจโลกและการค้าโลกปั่นป่วนไปหมด
ในสุนทรพจน์ในพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี เมื่อวันที่ 20 มกราคม ที่ผ่านมา Trump ได้ประกาศท่าทีอย่างชัดเจนว่า เขาต่อต้านระเบียบการค้าเสรีโลก และมองว่าการค้าเสรีเป็นผลร้ายต่อสหรัฐ เขาพูดว่า “เราจะต้องปกป้องพรมแดนของเรา ไม่ให้ประเทศอื่นมาขโมยผลผลิตของเรา มาขโมยบริษัทของเรา และมาทำลายแรงงานของเรา” และในวันแรกที่เขาเป็นประธานาธิบดี เขาก็ได้เซ็นหนังสือถอนตัวสหรัฐออกจาก TPP อย่างเป็นทางการ และในวันต่อมา เขาก็ได้แจ้งแคนาดาและเม็กซิโกว่า สหรัฐต้องการเจรจา NAFTA ใหม่ แนวโน้มต่างๆเหล่านี้ ชี้ให้เห็นถึงสงครามการค้าที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต
กล่าวโดยสรุป จากที่ผมได้วิเคราะห์ทั้งหมดนี้ จะเห็นได้ว่า มีจุดอันตรายหลายจุดทีเดียว ที่นโยบายและมาตรการของ Trump จะทำให้จุดอันตรายเหล่านี้ ลุกลามบานปลายจนเป็นความขัดแย้งถึงขั้นสงครามได้ ในอนาคต ซึ่งเราก็คงจะต้องจับตาดูแนวโน้วสถานการณ์ต่างๆเหล่านี้ อย่างระมัดระวังต่อไป
ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ฉบับวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2560