ยุทธศาสตร์จีนต่ออาเซียนปี 2015

เมื่อวันที่ 16 – 17 มิถุนายนที่ผ่านมา ผมได้รับเชิญจาก China-ASEAN Research Institute มหาวิทยาลัยกวางสี ไปประชุมเรื่อง “One Belt One Road and China-ASEAN Community of Common Destiny” ที่เมืองหนานหนิง มณฑลกวางสี ทำให้ผมได้ทราบยุทธศาสตร์ล่าสุดของจีนต่ออาเซียน ซึ่งจะมียุทธศาสตร์ใหญ่ 2 ยุทธศาสตร์ ยุทธศาสตร์ที่หนึ่งเรียกว่า Belt and Road Initiative และยุทธศาสตร์ที่สองเรียกว่า China-ASEANCommunity of Common Destiny
Belt and Road Initiative
เมื่อตอนที่ผู้นำจีน สี จิ้นผิง เดินทางมาเยือนอาเซียนในช่วงปลายปี 2013 จีนได้เสนอที่จะสร้าง Silk Road Economic Belt เส้นทางสายไหมทางบก และ Maritime Silk Road เส้นทางสายไหมทางทะเล ซึ่งข้อเสนอดังกล่าวเรียกย่อว่า Belt and Road Initiative
สำหรับเส้นทางสายไหมทางบกนั้นจะมีอยู่ด้วยกัน 3 เส้นทาง
เส้นทางที่ 1 เชื่อม จีน เอเชียกลาง รัสเซีย และยุโรป
เส้นทางที่ 2 เชื่อม จีน อ่าวเปอร์เซีย และทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ผ่านทางเอเชียกลาง และตะวันออกกลาง
และเส้นทางที่ 3 เชื่อมจีนกับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเอเชียใต้
ส่วนเส้นทางสายไหมทางทะเลนั้น จะเชื่อมจีนกับยุโรปทางทะเล ผ่านทางทะเลจีนใต้ และมหาสมุทรอินเดีย
สำหรับทางบกนั้น จะมีการสร้าง Eurasian Land Bridge โดยจะมีการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจ จีน-มองโกเลีย-รัสเซีย ระเบียงเศรษฐกิจ จีน-เอเชียกลาง-เอเชียตะวันตก และระเบียงเศรษฐกิจ จีน-อินโดจีน
ส่วนทางทะเล จะมีการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจ จีน-ปากีสถาน และระเบียงเศรษฐกิจ จีน-บังกลาเทศ-อินเดีย
จีนให้เหตุผลในการเสนอ Belt and Road Initiative ว่ามี 3 เหตุผล
เหตุผลที่ 1 เหตุผลทางการเมือง ข้อเสนอดังกล่าวจะเป็นการส่งสัญญาณว่า จีนต้องการสันติภาพ เปิดกว้าง และต้องการหยิบยื่นโอกาสการพัฒนาให้กับเอเชียและโลก
เหตุผลที่ 2 เป็นเหตุผลทางเศรษฐกิจ โดยโครงการลงทุนขนาดใหญ่ จะเป็นการย้ายกำลังผลิตและฐานการผลิตของจีนไปยังภูมิภาคต่างๆ
เหตุผลที่ 3 เป็นเหตุผลทางด้านสังคมและวัฒนธรรม โดยข้อเสนอดังกล่าว จะช่วยส่งเสริมการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมในระดับประชาชนตามเส้นทางสายไหม
แต่เป้าหมายสูงสุดของ Belt and Road Initiative คือการส่งเสริม The Rise of Asia การผงาดขึ้นมาของเอเชีย ด้วยการจัดตั้งประชาคมเอเชีย หรือ Asian Community
China-ASEAN Community of Common Destiny
ยุทธศาสตร์ที่ 2 ของจีนต่ออาเซียน ได้มีการประกาศในช่วงที่ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง เยือนอินโดนีเซีย ในช่วงปลายปี 2013 โดยประกาศว่า จะจัดตั้ง China-ASEAN Community หรือประชาคมจีน-อาเซียนขึ้น ซึ่งประชาคมดังกล่าว จะเป็นส่วนหนึ่งของแนวคิดของจีน ที่จะสร้างประชาคมโลกที่จีนเรียกว่า Community of Common Destiny for All Mankind ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา ผู้นำจีนได้นำเสนอแนวคิดเรื่องการจัดตั้งประชาคมเอเชีย-แปซิฟิก Asia-Pacific Community และประชาคมเอเชีย Asian Community และประชาคมจีน-อาเซียน China-ASEAN Community ด้วย
จีนอ้างว่า ประชาคมต่างๆที่จีนเสนอ จะไม่เหมือนกับประชาคมยุโรป โดยประชาคมที่จีนเสนอ จะไม่มีกรอบทางกฎหมาย แต่จะเป็นประชาคมที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของสมาชิก ที่อยู่ในประชาคมเดียวกัน มีค่านิยมเหมือนกัน และมีอัตลักษณ์ร่วมกัน ดังนั้น ประชาคมจีน-อาเซียน จึงไม่จำเป็นต้องมีกรอบทางกฎหมาย แต่จะเป็นประชาคมที่สมาชิกมีอัตลักษณ์ร่วมกัน
การจัดตั้งประชาคมดังกล่าว จะเป็นกระบวนการที่เป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยอัตลักษณ์ร่วมกันจะเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ด้วยการติดต่อสื่อสาร เข้าใจกัน ส่งเสริมความร่วมมือ บูรณาการทางเศรษฐกิจ สมาชิกเคารพซึ่งกันและกัน นอกจากนี้ การแลกเปลี่ยนทางสังคมและวัฒนธรรม จะนำไปสู่การสร้างอัตลักษณ์ร่วม สิ่งต่างๆเหล่านี้ จะทำให้จีนและประเทศอาเซียนใกล้ชิดกัน และนำไปสู่การจัดตั้งประชาคมจีน-อาเซียนในที่สุด
นอกจากนี้ Belt and Road Initiative จะช่วยในการสร้างประชาคมจีน-อาเซียนด้วย ทั้งนี้เพราะการสร้างระเบียงเศรษฐกิจจีน-อินโดจีน และเส้นทางสายไหมทางทะเล จะนำผลประโยชน์มาสู่จีนและประเทศอาเซียน ก่อให้เกิดความไว้วางใจกันมากขึ้น มีการแลกเปลี่ยนในระดับประชาชนมากขึ้น ส่งเสริมการสร้างอัตลักษณ์ร่วม นำไปสู่รากฐานสำคัญในการสร้างประชาคม
บทวิเคราะห์
ยุทธศาสตร์ใหม่ของจีนต่ออาเซียนคือ One Belt One Road และ China-ASEAN Community นั้น ถือเป็นยุทธศาสตร์ grand strategy เป็นยุทธศาสตร์ที่จีนยังไม่เคยมีมาก่อน ในอดีต ยุทธศาสตร์จีนต่ออาเซียนจะมีลักษณะเป็นยุทธศาสตร์เฉพาะด้าน เช่น การทำ FTA กับอาเซียน และมีลักษณะระยะสั้น แต่ยุทธศาสตร์ใหม่นี้เป็นการเสนอวิสัยทัศน์ยาวไกล และดูอลังการมาก
นอกจากเหตุผลที่จีนได้ประกาศคือ การสร้างสันติภาพ ส่งเสริมการพัฒนาทางเศรษฐกิจ และเชื่อมความสัมพันธ์ในระดับประชาชนแล้ว ยังมีเหตุผลซ่อนเร้นหรือ hidden agenda อีกหลายเรื่องที่สำคัญ คือถ้าหาก
จีนทำสำเร็จ จีนจะสามารถเชื่อมกับประเทศต่างๆในภูมิภาคเอเชียและยุโรปได้อย่างเต็มที่ จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการขยายอิทธิพลของจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางด้านเศรษฐกิจและทางด้านการทหาร
จีนจะสามารถครอบงำผืนแผ่นดินใหญ่ที่สุดของโลกที่เราเรียกว่า Eurasia ซึ่งในทางภูมิรัฐศาสตร์ถือว่า Eurasia นั้น มีความสำคัญที่สุด
นอกจากนี้ ยุทธศาสตร์ดังกล่าวของจีน จะช่วยให้จีนหลีกเลี่ยงยุทธศาสตร์การปิดล้อมจีนของสหรัฐได้อีกด้วย
หากจีนทำสำเร็จ ในการสร้างเส้นทางการคมนาคมขนส่งเชื่อมจีนกับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอเชียใต้ เอเชียกลาง ตะวันออกกลาง และยุโรปได้ ก็จะช่วยส่งเสริมให้จีนผงาดขึ้นมาเป็นอภิมหาอำนาจของโลกอย่างแท้จริง และจะมีนัยยะและผลกระทบต่อการเมืองและเศรษฐกิจโลกเป็นอย่างมากในอนาคต
อย่างไรก็ตาม ปัญหาใหญ่ของยุทธศาสตร์ดังกล่าวของจีนคือ การแปลงยุทธศาสตร์ไปสู่การปฏิบัติ สิ่งที่จีนเสนอคือความฝัน สิ่งที่สำคัญคือการสานฝันให้เป็นจริง ซึ่งผมมองว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
ทั้งนี้เพราะเส้นทางสายไหมทั้งทางบกและทางทะเล จะต้องตัดผ่านประเทศต่างๆ และผ่านมหาสมุทรและทะเลหลายน่านน้ำ ในทางปฏิบัติ จึงมีเครื่องหมายคำถามอันใหญ่ว่า จีนจะสามารถสร้างถนนและทางรถไฟผ่านประเทศต่างๆเหล่านี้ได้สำเร็จหรือไม่ หลายประเทศยังมีความหวาดระแวงจีนสูง บางประเทศที่พึ่งพาจีนมาก ก็เริ่มมีปฏิกิริยาต่อต้านการครอบงำทางเศรษฐกิจของจีน อย่างเช่นพม่า
เส้นทางสายไหมทางทะเลที่จะต้องผ่านทะเลจีนใต้ ก็ยังมีความขัดแย้งกันอยู่ เช่นเดียวกับในมหาสมุทรอินเดีย ซึ่งจีนจะถูกต่อต้าน โดยเฉพาะจากอินเดียและสหรัฐ ซึ่งหวาดระแวงจีนอยู่ และกำลังปิดล้อมจีนอยู่
นอกจากนี้ ในอนาคตระยะยาว ก็ยังมีความไม่แน่นอนอยู่หลายเรื่อง เศรษฐกิจจีนอาจจะสะดุดและชะลอตัวลง ซึ่งจะมีผลกระทบอย่างมากต่อการผงาดขึ้นมาของจีน และจะกระทบต่อยุทธศาสตร์ดังกล่าว นอกจากนี้แม้ว่าในอนาคต จีนจะมีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า จีนจะเป็นผู้นำเศรษฐกิจโลก เพราะระเบียบเศรษฐกิจโลกยังอยู่ภายใต้ฉันทามติวอชิงตัน โดยการนำของสหรัฐ
และท่าทีความแข็งกร้าวทางทหารของจีนในช่วงที่ผ่านมา ได้ทำให้ประเทศเพื่อนบ้านหวาดระแวงจีนมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งจะเป็นอุปสรรคสำคัญต่อยุทธศาสตร์ One Belt One Road ของจีน
สำหรับข้อเสนอเรื่องการจัดตั้งประชาคมจีน-อาเซียนนั้น ผมดูแล้วก็แปลกๆว่า ประชาคมดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้อย่างไร รวมทั้งข้อเสนอประชาคมเอเชีย-แปซิฟิก และประชาคมเอเชียด้วย โดยจีนอ้างว่า ประชาคมดังกล่าวจะไม่เหมือนประชาคมยุโรป ที่ไม่จำเป็นต้องมีกรอบทางกฎหมาย แต่จะตั้งอยู่บนพื้นฐานของผลประโยนชน์ร่วมกัน และอัตลักษณ์ร่วมกัน ซึ่งหากประชาคมจีน-อาเซียน จะถูกสร้างขึ้นด้วยการสร้างอัตลักษณ์ร่วมกัน ก็คงต้องรออีกนาน เอาแค่ประชาคมอาเซียน อัตลักษณ์อาเซียนก็ยังมีน้อยมาก อัตลักษณ์ร่วมระหว่างอาเซียนกับจีน ผมก็ยังนึกไม่ออก และชื่อของประชาคมจีน-อาเซียนก็ดูแปลกๆว่า จะเกิดขึ้นได้อย่างไร โดยชื่อแล้ว ก็แยกเป็นสองส่วน คือจีนกับอาเซียน แล้วจะเป็นประชาคมเดียวกันได้อย่างไร
กล่าวโดยสรุป ยุทธศาสตร์ใหม่ของจีน ดูมีวิสัยทัศน์และดูอลังการมาก แต่ในทางปฏิบัติ คงเป็นไปได้ยาก ที่จะบรรลุยุทธศาสตร์ดังกล่าวโดยเร็ววัน โดยเฉพาะข้อเสนอประชาคมจีน-อาเซียน ดูแล้วไม่น่าจะเป็นไปได้
Cr.picture http://service-industries-research.hktdc.com/business-news/article/Research-Articles/One-Belt-One-Road-Initiative-The-Implications-for-Hong-Kong/rp/en/1/1X3PJ3M5/1X0A23WV.htm