สงครามการค้าโลก (ตอนที่ 4)

สงคราม 4.0
ผมได้เขียนเกี่ยวกับสงครามการค้าโลกระหว่างจีนกับสหรัฐมาแล้ว 3 ตอน โดยได้เน้นไปในเรื่องสงครามการค้าสินค้า และเรื่องมาตรการขึ้นภาษีศุลกากรเป็นหลัก อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกมิติหนึ่ง ที่สำคัญมากในสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน คือ สงครามเทคโนโลยี หรือที่ผมอยากจะใช้คำว่า สงคราม 4.0 ซึ่งเป็นอีกสมรภูมิหนึ่ง ที่สำคัญอย่างยิ่งต่อสงครามเศรษฐกิจระหว่างสหรัฐกับจีนในขณะนี้
4.0
คำว่า 4.0 เราก็คงจะคุ้นกันดี โดยเฉพาะในบริบทของไทยแลนด์ 4.0 ซึ่งกลายเป็นยุทธศาสตร์ 20 ปี ของประเทศ ที่จะพัฒนาประเทศไทยไปเป็นไทยแลนด์ 4.0 ในอีก 20 ปีข้างหน้า ประเด็น 4.0 คือการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของโลก ซึ่งเป็นการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 ที่เศรษฐกิจโลกจะถูกขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี R&D และเศรษฐกิจดิจิทัล
ขณะนี้ ทุกประเทศทั่วโลกก็กำลังตื่นตัวอย่างมาก ในการกำหนดยุทธศาสตร์ชาติ เพื่อรองรับการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 ซึ่งแน่นอนว่า อภิมหาอำนาจอย่างสหรัฐกับจีนก็กำลังแข่งกันเป็นผู้นำของโลก 4.0 ในอนาคต หากประเทศใดเป็นผู้นำโลก 4.0 ก็จะอยู่ในสถานะได้เปรียบมากในการครองโลก
ในอดีตที่ผ่านมา สหรัฐคือผู้นำทางด้านเทคโนโลยี ซึ่งการเป็นผู้นำทางด้านเทคโนโลยีของสหรัฐนี้เอง ที่ทำให้สหรัฐเป็นจ้าวครองโลกมานานนับ 100 ปี จนถึงปัจจุบัน แต่ขณะนี้สหรัฐกำลังวิตกกังวลอย่างมากต่อการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีของจีน ที่พัฒนาอย่างก้าวกระโดด และกำลังจะเป็นคู่แข่ง และอาจแซงหน้าสหรัฐได้ในอนาคต
China 4.0
รัฐบาลจีนในปัจจุบัน โดยเฉพาะประธานาธิบดี สี่ จิ้นผิง ได้ประกาศยุทธศาสตร์ชัดเจนว่า จีนจะทุ่มสุดตัวในการพัฒนาขีดความสามารถทางด้านเทคโนโลยี และถือเป็นเป้าหมายสำคัญที่สุดของชาติ ที่จะทำให้จีนผงาดขึ้นมาเป็นผู้นำโลก 4.0 ผู้นำทางด้านเทคโนโลยีโลก และผู้นำในด้านนวัตกรรมของโลก
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา จีนได้พัฒนาเทคโนโลยีของจีนอย่างก้าวกระโดด โดยได้มีการจัดตั้งศูนย์เทคโนโลยี (technology hub) ในลักษณะคล้ายกับ Silicon Valley ของสหรัฐ โดยกระจายอยู่ทั่วประเทศถึง 17 ศูนย์ ที่สำคัญคือ ศูนย์เทคโนโลยี ในเขตลุ่มแม่น้ำ Pearl ซึ่งครอบคลุม เสินเจิ้น ฮ่องกง มาเก๊า และกวางตุ้ง ศูนย์ Z park ในกรุงปักกิ่ง และศูนย์นวัตกรรม กวางเจา
ศูนย์เทคโนโลยีเหล่าได้นี้สร้าง startup ของจีนขึ้นมาเป็นจำนวนมาก ขณะนี้มี startup ของจีนที่มีรายได้เกินกว่า 1000 ล้านเหรียญกว่า 160 startup ซึ่งมากกว่าสหรัฐเสียอีก ซึ่งมีเพียง 130 เท่านั้น นอกจากนี้จีนมีบริษัทใหญ่ ๆ ที่ผงาดขึ้นมาเป็นผู้นำนวัตกรรมของโลก โดยเฉพาะด้าน e-commerce ได้แก่ Alibaba , Tencent , JD.com และ Baidu
จีนมีสองยุทธศาสตร์ในการขับเคลื่อนให้เป็นผู้นำเทคโนโลยีโลก คือ Made in China 2025 และ ยุทธศาสตร์ AI 2030
มีการปฏิรูปการศึกษาจีนครั้งใหญ่ นำไปสู่การผลิตบันฑิตทางด้าน วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และวิศวกรรม กว่า 4.5 ล้านคน ต่อปี
และจีนยังได้ทุ่มงบประมาณเต็มที่ในด้าน R&D โดยปี 2015 จีนลงทุนด้าน R&D ถึง 4 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวจากงบปี 2010 ในขณะนี้เป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากสหรัฐ ที่ยังคงเป็นอันดับ 1 ซึ่งมีงบ R&D เกือบ 5 แสนล้านเหรียญ
แนวโน้มดังกล่าว กำลังชี้ให้เห็นว่า จีนที่เป็นอารยธรรมเก่าแก่ ที่เคยเป็นผู้นำโลกทางด้านเทคโลยีและนวัตกรรมมาตั้งแต่สมัยโบราณ ขณะนี้กำลังผงาดกลับขึ้นมาเป็นผู้นำโลกทางด้านการวิจัย วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม อีกครั้งหนึ่ง
การผงาดขึ้นมาของจีนทางด้านเทคโนโลยี จึงนำไปสู่การแข่งขันกันอย่างเต็มที่ระหว่างสหรัฐกับจีน ในการแย่งกันเป็นผู้นำเทคโนโลยีโลก ซึ่งอาจจะเป็นปัจจัยชี้ขาดในอนาคตว่า ใครจะเป็นจ้าวครองโลก
ยุทธศาสตร์สหรัฐ
ในปัจจุบัน รัฐบาลสหรัฐได้มีความห่วงกังวลเป็นอย่างมาก ต่อการที่จีนผงาดขึ้นมาเป็นคู่แข่งทางด้านเทคโนโลยี สงครามเทคโนโลยีโลก สงคราม 4.0 โลก กำลังเกิดขึ้น
ยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฉบับล่าสุด เมื่อปลายปีที่แล้ว ได้ระบุอย่างชัดเจนว่า การเติบโตทางเทคโนโลยีของจีน ถือเป็นภัยคุกคามต่อสหรัฐ ทั้งด้านเศรษฐกิจ และด้านการทหาร
ในเอกสารของ USTR ฉบับล่าสุด ได้กล่าวหาจีน และได้มีการกำหนดมาตรการตอบโต้จีนอย่างเต็มที่ เพื่อที่จะป้องกันไม่ให้จีนก้าวกระโดดทางด้านเทคโนโลยีอีกต่อไป โดยมีการกล่าวหาว่า จีนได้บังคับให้บริษัทสหรัฐที่ร่วมลงทุนในจีน ต้องถ่ายโอนเทคโนโลยีให้กับบริษัทของจีน กล่าวหาว่า จีนขโมยข้อมูลความลับทางด้านเทคโนโลยีของสหรัฐ รวมทั้งการ hack ข้อมูล USTR กล่าวหาด้วยว่า จีนขโมยทรัพย์สินทางปัญญาของสหรัฐ และขโมยเทคโนโลยีของสหรัฐ และพยายามที่จะซื้อบริษัทเทคโนโลยีของสหรัฐ เอกสาร USTR ตอกย้ำว่า ยุทธศาสตร์ Made in China 2025 สร้างความได้เปรียบและทำให้สหรัฐเสียเปรียบทางด้านเทคโนโลยีต่อจีนเป็นอย่างมาก
ดังนั้น สงครามการค้าที่ Trump ไล่บี้จีนอยู่ในขณะนี้ด้วยการขึ้นภาษีสินค้าจีน ก็เพื่อที่จะบีบจีนให้ยุติการกระทำต่าง ๆ ที่สหรัฐ เห็นว่าเป็นการขโมยเทคโนโลยีของสหรัฐ และแน่นอนว่า มาตรการไล่บี้จีนของ Trump ก็เพื่อชะลอและหยุดยั้งไม่ให้จีนพัฒนาเทคโนโลยีขึ้นมาเป็นคู่แข่งของสหรัฐได้
Artificial Intelligence (AI)
เรื่องใหญ่ของสงครามเทคโนโลยีสหรัฐ-จีน คือ การแข่งขันกันในการเป็นผู้นำ ในด้าน Artificial Intelligence ปัญญาประดิษฐ์ หรือเรียกย่อว่า AI
AI จะเอามาให้ประโยชน์ได้มากมาย ทั้งด้านเศรษฐกิจและด้านการทหาร AI จะช่วยพัฒนาโทรศัพท์มือถือ บริหารจัดการ Big Data และปฏิวัติอุตสาหกรรมต่าง ๆ เกือบทุกอุตสาหกรรม สำหรับทางด้านการทหาร ในอนาคต AI จะมีบทบาทอย่างมากในการทำสงคราม ในการขับเคลื่อนอาวุธยุทโธปกรณ์ รวมถึงทหารหุ่นยนต์ AI จะช่วยทำการวิเคราะห์สถานการณ์สงครามในสนามรบได้อย่างมีประสิทธิภาพ และอาจจะเป็นปัจจัยชี้ขาดในการตัดสินว่าใครเป็นผู้แพ้ผู้ชนะในสงครามทางทหารในอนาคต
ดังนั้น กระทรวงกลาโหมสหรัฐ จึงวิตกกังวลอย่างมากอต่อการพัฒนา AI ของจีน ยุทธศาสตร์การป้องกันประเทศฉบับล่าสุดของสหรัฐ ก็ได้มองว่า การผงาดขึ้นมาของจีนทางด้านเทคโนโลยีและ AI จะเป็นภัยคุกคามอย่างยิ่งต่อความมั่นคงของสหรัฐในอนาคต
chip
อีกสมรภูมิที่สำคัญในสงคราม 4.0 ระหว่างสหรัฐกับจีน คือ การผลิต semiconductor หรือ chip ที่เป็นส่วนประกอบที่สำคัญที่สุดของคอมพิวเตอร์
ในปัจจุบัน สหรัฐและพันธมิตร อาทิ ไต้หวัน เกาหลีใต้ ครอบงำอุตสาหกรรมการผลิต chip ในขณะที่จีนยังต้องนำเข้า chip จากต่างประเทศ ดังนั้น รัฐบาลจีนจึงได้ประกาศที่จะลงทุนกว่า 1.5 แสนล้านเหรียญ ที่จะพัฒนาอุตสาหกรรมผลิต chip ของตัวเอง ยุทธศาสตร์ Made in China 2025 ก็ได้เน้นเรื่องนี้เป็นอย่างมาก
ในขณะที่สหรัฐก็พยายามป้องกันไม่ให้จีนเดินหน้าในเรื่องนี้ โดยในปี 2015 รัฐบาล Obama ได้ห้ามบริษัท Intel บริษัท chip รายใหญ่ของสหรัฐขาย chip ให้กับจีน ต่อมาในสมัย Trump ก็ได้เข้าแทรกแซงบริษัทจีนที่จะเข้าซื้อบริษัทผลิต chip รายใหญ่ของสหรัฐชื่อ Qualcomm และต่อมาได้ประกาศห้ามบริษัทสหรัฐขาย chip ให้กับบริษัท ZTE ซึ่งเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ทางด้านโทรคมนาคมของจีนด้วย
ปัญหาเรื่อง chip ถูกโยงไปสู่เรื่องที่สหรัฐหวาดระแวงว่า จีนจะใช้ chip ที่จีนผลิตขึ้น ในการเป็นเครื่องมือที่จะ hack ข้อมูลของรัฐบาลและเอกชนของสหรัฐ ทั้งนี้ บริษัทที่ถูกมุ่งเป้า คือ บริษัท Huawei ที่กำลังผงาดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว โดยในปี 2015 รัฐบาลสหรัฐได้ห้าม Intel ขายชิบให้กับ Huawei ด้วย
สงคราม 5G
และเมื่อช่วงต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ผู้บริหารระดับสูงของ Huawei ซึ่งเป็นลูกสาวของประธานบริษัท ได้ถูกรัฐบาลแคนาดาจับกุมตัว
เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น ท่ามกลางความหวาดกลัวของสหรัฐและประเทศตะวันตก ที่กลัวว่า Huawei จะเดินหน้าครอบครองเครือข่าย 5G ของโลก ซึ่งจะมีผลกระทบอย่างมากต่อความมั่นคงของสหรัฐและพันธมิตรตะวันตก โดยกลัวว่า โทรศัพท์ Huawei จะเป็นเครื่องมือในการขโมยความลับจากสหรัฐ และจะเป็นเครื่องมือในการทำลายเครือข่ายอินเตอร์เนตของสหรัฐ ซึ่งจะมีผลทำให้ประเทศสหรัฐเป็นอัมพาตได้
เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา รัฐบาล Trump ได้ประกาศห้ามหน่วยงานราชการของสหรัฐใช้โทรศัพท์ Huawei โดยหน่วยงานความมั่นคงของสหรัฐ ระบุว่า บริษัท Huawei และ ZTE เป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของสหรัฐ
ต่อมา พันธมิตรของสหรัฐก็ออกมาตรการเดียวกัน ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ประกาศห้ามหน่วยงานราชการใช้ Huawei และไม่ให้ Huawei เข้ามาพัฒนาเครือข่าย 5G ในประเทศ เช่นเดียวกันกับญี่ปุ่นที่ห้ามหน่วยงานราชการ ซื้อโทรศัพท์จาก Huawei และสินค้าและบริการจาก ZTE
เทคโนโลยี 5G จะมีผลอย่างมากในการปฏิวัติเศรษฐกิจโลกในยุคดิจิทัล ดังนั้น สหรัฐและจีนจึงแข่งขันกันอย่างเต็มที่ ที่จะเป็นผู้นำเครือข่าย 5G ของโลกให้ได้
กล่าวโดยสรุป สงครามเทคโนโลยีหรือสงคราม 4.0 ระหว่างสหรัฐกับจีน กำลังจะกลายเป็นสมรภูมิสำคัญของการแข่งขันกันระหว่างมหาอำนาจ ในการครองความเป็นจ้าวของโลกในอนาคต
ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ฉบับวันที่ 20 ธันวาคม 2561
ที่มารูปภาพ : https://asia.nikkei.com/Politics/International-Relations/New-Zealand-s-Huawei-ban-reveals-difficulty-of-trade-war-neutrality