สงครามการค้าโลก (ตอนที่7)

สงครามการค้าโลกระหว่างสหรัฐฯกับจีน ซึ่งได้เริ่มมาตั้งแต่ต้นปีที่แล้ว ขณะนี้ได้ลุกลามบานปลาย โดยสหรัฐฯได้ขึ้นภาษีสินค้าจีนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงก่อนเดือนสิงหาคมนี้ ได้ขึ้นภาษีสินค้าจีน 25% มูลค่า 250,000 ล้านหรียญ ต่อมา สงครามการค้าลุกลามไปเป็นสงครามเทคโนโลยี Trump ได้ประกาศ ban โทรศัพท์มือถือ Huawei เพื่อบีบให้จีนยอมตามคำเรียกร้องของสหรัฐฯ ได้มีการเจรจากันมาหลายรอบ แต่ก็ล้มเหลวหมด จนเมื่อช่วงต้นเดือนสิงหาคมนี้ Trump ก็ได้ประกาศขึ้นภาษีรอบใหม่ และจีนก็ได้ตอบโต้ด้วยการลดค่าเงินหยวน คอลัมน์กระบวนทรรศน์ในวันนี้ จะวิเคราะห์สงครามการค้าโลกล่าสุดดังนี้
สงครามการค้ารอบใหม่
เมื่อช่วงต้นเดือนสิงหาคมนี้ Trump ได้ประกาศ ขึ้นภาษี 10% สินค้าจีนมูลค่า 300,000 ล้านเหรียญ เหตุผลสำคัญคือ การเจรจาล่าสุดได้ล้มเหลวอีก หลังจากที่ผู้นำของทั้งสองประเทศ ได้หารือกันในการประชุมสุดยอด G20 และได้ประกาศพักรบชั่วคราว
ก่อนหน้านี้ สหรัฐฯได้ขึ้นภาษีสินค้าจีน 25% มูลค่า 250,000 ล้านเหรียญไปแล้ว ดังนั้น การประกาศขึ้นภาษีรอบใหม่ จึงทำให้สินค้าจีนที่ส่งออกไปสหรัฐฯทั้งหมด มูลค่า 550,000 ล้านเหรียญ ถูกปรับขึ้นภาษีทั้งหมด
ผลกระทบของการประกาศขึ้นภาษีรอบใหม่ ทำให้ตลาดหุ้นตกทั่วโลก โดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐฯตกลงมากที่สุดในรอบปี ราคาน้ำมันก็ตกลงเพราะความกังวลว่าจะเกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศต่างๆทั่วโลกมีแนวโน้มลดลง
สงครามค่าเงิน
จีนได้ตอบโต้การขึ้นภาษีรอบใหม่ของ Trump อย่างรวดเร็ว ด้วยการลดค่าเงินหยวนลงต่ำที่สุดในรอบ 10 ปี ก่อนหน้านี้ รัฐบาล Trump ได้เตือนจีนไว้แล้วว่า หากปล่อยให้ค่าเงินหยวนลดต่ำลงกว่า 7 หยวนต่อ 1 เหรียญสหรัฐ กระทรวงการคลังสหรัฐฯจะประกาศว่า จีนเป็นประเทศที่มีการบิดเบือนค่าเงิน หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า currency manipulator ซึ่งตามกฎหมายสหรัฐฯ ประเทศที่ถูกประกาศว่าบิดเบือนค่าเงิน จะถูกลงโทษด้วยมาตรการทางเศรษฐกิจหลายมาตรการ
ในคำประกาศของกระทรวงการคลังสหรัฐฯระบุว่า จีนมีประวัติอันยาวนานในการที่รัฐบาลเข้าแทรกแซงตลาดเงินตรา และในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา รัฐบาลจีนได้เข้าแทรกแซงเพื่อลดค่าเงินหยวน นับเป็นครั้งแรก ในรอบ 30 ปี ที่สหรัฐประกาศประเทศที่เป็น currency manipulator
สำหรับปฏิกิริยาของจีน ธนาคารกลางของจีนได้ออกมาตอบโต้อย่างรุนแรง โดยกล่าวว่า การกระทำของสหรัฐฯ จะทำลายกฎกติการะหว่างประเทศ และจะมีผลกระทบอย่างมากต่อเศรษฐกิจและการเงินโลก หลังจากถูกระบุว่าเป็น currency manipulator แต่รัฐบาลจีนก็ไม่ยอมถอย และปล่อยให้ค่าเงินหยวนอ่อนตัวต่อไป ซึ่งเท่ากับเป็นการส่งสัญญาณอย่างชัดเจนว่า จีนพร้อมที่จะเดินหน้าชนกับสหรัฐฯต่อไปในสงครามการค้า
สำหรับจีนแล้ว เงินหยวนที่อ่อนค่าลง จะช่วยลดผลกระทบจากการที่สินค้าจีนที่ส่งออกไปสหรัฐฯถูกขึ้นภาษี
ในการทำสงครามการค้ากับสหรัฐฯ จีนเสียเปรียบ เพราะจีนนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯเพียง 100,000ล้านเหรียญ ในขณะที่จีนส่งออกไปสหรัฐฯ 500,000 ล้านเหรียญ ดังนั้น จีนจึงต้องหาวิธีในการตอบโต้นอกเหนือจากการขึ้นภาษีตอบโต้ ที่ผ่านมา จีนพยายามหาอาวุธใหม่ๆ มาทำสงครามกับสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็นการขู่ว่าจะจำกัดการส่งออกแร่มีค่าหายาก หรือ rare earth การขู่ว่าจะขายพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯทิ้ง ซึ่งจีนถือไว้กว่าล้านล้านเหรียญ และล่าสุดก็ใช้อาวุธการลดค่าเงินหยวนมาสู้กับสหรัฐฯ
แนวโน้มสงคราม
สงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ มีแนวโน้มลุกลามบานปลายหนักขึ้นเรื่อยๆ ทางออกที่จะยุติสงครามการค้าในครั้งนี้คือการเจรจา แต่การเจรจาระหว่างสหรัฐฯกับจีนในครั้งนี้ก็มีลักษณะที่น่าจะประสบความสำเร็จได้ยาก เพราะเป็นการเจรจาที่สหรัฐฯเรียกร้องต่อจีนฝ่ายเดียว บีบให้จีนตอบสนองต่อข้อเรียกร้องของสหรัฐฯ ซึ่งมีมากมายหลายประการ ที่จีนไม่สามารถที่จะยอมรับได้ จึงทำให้ดูแล้ว สงครามการค้าคงจะยืดเยื้อต่อไปอีกยาวนาน
หากดูรายละเอียดประเด็นการเจรจา ข้อเรียกร้องของสหรัฐฯ จะเห็นถึงแนวโน้มของสงครามได้ชัดเจนขึ้น ซึ่งข้อเรียกร้องของสหรัฐหลักๆมีหลายเรื่องดังนี้
ข้อเรียกร้องของสหรัฐฯที่นำไปสู่การขึ้นภาษีสินค้าจีน คือ สหรัฐฯต้องการให้จีนยุติการบังคับการถ่ายโอนเทคโนโลยี ยุติการขโมยทรัพย์สินทางปัญญา ยุติการขโมยเทคโนโลยี ยุติการทำสงคราม cyber และให้รัฐบาลจีนยุติการอุดหนุนและสนับสนุนภาคเอกชนจีน
• การอุดหนุนของรัฐบาล (subsidy)
หัวใจของข้อเรียกร้องของสหรัฐฯคือ การให้จีนเปลี่ยนโยบายเศรษฐกิจของจีนใหม่ โดยเฉพาะให้ยุติการที่รัฐบาลจีนสนับสนุนภาคเอกชนของจีน ซึ่งทำให้บริษัทของจีน ได้เปรียบ และทำให้บริษัทต่างชาติเสียเปรียบ แต่การที่สหรัฐฯเรียกร้องให้รัฐบาลจีนยุติการให้เงินอุดหนุนภาคเอกชนของรัฐบาลจีนนั้น เป็นสิ่งที่จีนยอมรับไม่ได้ เพราะการให้เงินอุดหนุนจากภาครัฐนั้น เป็นหัวใจของนโยบายเศรษฐกิจจีน และเป็นหัวใจของระบบทุนนิยมจีน ที่รัฐมีบทบาทสำคัญ การยุติบทบาทของภาครัฐและเงินอุดหนุนของภาครัฐ เท่ากับจะเป็นการทำให้ระบบเศรษฐกิจของจีนล่มสลาย
• การขโมยเทคโนโลยีและทรัพย์สินทางปัญญา
สหรัฐฯเรียกร้องให้จีนยุติการขโมยเทคโนโลยีและทรัพย์สินทางปัญญาของสหรัฐฯ โดย Trump มุ่งเป้าไปที่ Huawei ที่ถูกกล่าวหาว่า ใช้โทรศัพท์มือถือและเครือข่ายอินเทอร์เน็ตในการขโมยข้อมูลความลับและเทคโนโลยีของสหรัฐฯ และหาก Huawei ได้เข้าควบคุมเครือข่าย 5G ในอนาคต ก็จะสามารถขโมยข้อมูลความลับและทำลายเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ทั้งของหน่วยงานราชการ กระทรวงกลาโหม ระบบการเงิน และระบบสาธารณูปโภคของสหรัฐฯได้
• เศรษฐกิจดิจิทัล
ข้อเรียกร้องของสหรัฐฯที่เป็นเรื่องใหญ่อีกเรื่องหนึ่ง คือ การบีบให้จีนเปิดเสรีเศรษฐกิจ ดิจิทัลของจีน สหรัฐโจมตีจีนว่า มีข้อจำกัดมากมายต่อบริษัทต่างชาติในการทำธุรกิจดิจิทัลในจีน โดยบริษัทต่างชาติจะต้องเก็บข้อมูล cloud ในจีน ในขณะที่บริษัทยักษ์ใหญ่ e-commerce ของจีนคือ Alibaba สามารถที่จะจัดตั้งบริษัทเก็บข้อมูลใน cloud ในสหรัฐฯได้อย่างเสรี แต่บริษัท Apple ของสหรัฐฯกลับถูกบังคับให้ต้องมีหุ้นส่วนเป็นบริษัทของจีนในการที่จะให้บริการ icloud ในจีนได้
ในมุมมองของสหรัฐฯ การที่บริษัทสหรัฐฯจะต้องพึ่งพาบริษัท cloud ของจีน และต้องเก็บข้อมูลในจีน อาจจะทำให้ข้อมูลความลับต่างๆ ที่อยู่ใน cloud ถูกขโมยได้
การที่จีนกีดกันบริษัทต่างชาติที่ทำธุรกิจดิจิทัลในจีน ทำให้บริษัทของจีนอยู่ในสถานะได้เปรียบมาก จะเห็นได้ว่าธุรกิจดิจิทัลในจีน บริษัทจีนผูกขาดทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น Wechat, Baidu, Tencent, Alibaba ซึ่งทางฝ่ายจีนก็จะไม่ยอมทำตามข้อเรียกร้องของสหรัฐอย่างแน่นอน โดยจีนอ้างว่า จะไม่ยอมสูญเสียอำนาจอธิปไตยทางดิจิทัล (digital sovereignty) และจีนจะไม่มีทางยอมเปิดเสรีเศรษฐกิจดิจิทัลของตน
ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ คอลัมน์กระบวนทรรศน์ วันที่ 14 สิงหาคม 2562