2 ปี นโยบายต่างประเทศ Donald Trump

Donald Trump ได้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐมาตั้งแต่ต้นปี 2017 ตอนนี้ Trump ก็เป็นประธานาธิบดีมาครบ 2 ปี ครึ่งทางแล้ว คอลัมน์กระบวนทรรศน์ในวันนี้ จะมาวิเคราะห์ว่า นโยบายต่างประเทศของ Trump ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เป็นอย่างไร ดังนี้
นโยบายต่างประเทศในภาพรวม
ตั้งแต่ช่วงหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 2016 Trump ได้ประกาศจุดยืนชัดเจนในเรื่องนโยบายต่างประเทศ โดยเขาเสนอสโลแกน “Make America Great Again” และ “America First” เขาจะทำให้อเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง นั่นก็หมายความว่า อเมริกากำลังตกต่ำ
Trump เชื่อว่า สาเหตุของความตกต่ำ มาจากการที่สหรัฐดำเนินนโยบายผิดพลาด มาจากการเปิดประเทศ รับกระแสโลกาภิวัตน์ เปิดเสรี ทำ FTA กับประเทศต่าง ๆ แต่เขามองว่า กลายเป็นอเมริกาเปิดประเทศอยู่คนเดียว ในขณะที่ประเทศอื่นเอาเปรียบปิดประเทศกันหมด จึงทำให้สินค้าราคาถูกจากจีนทะลักเข้ามา ทำให้โรงงานอเมริกันต้องปิดไปกว่า 50000 โรง และคนอเมริกันตกงานกว่า 10 ล้านคน ก็เพราะการเปิดประเทศ เปิดเสรี
เขาจึงเสนอว่า หากเขาได้เป็นประธานาธิบดี เขาจะปิดประเทศ ไม่เอาโลกาภิวัตน์ ไม่เอาการค้าเสรี ไม่เอาเวทีพหุภาคี และจะสร้างกำแพงป้องกันประเทศ ทั้งกำแพงภาษีและกำแพงกันแรงงานเถื่อน และหลังจากปิดประเทศแล้ว เขาจะเริ่มไล่บี้ประเทศต่าง ๆ ที่เอาเปรียบสหรัฐ เพื่อให้ยุตินโยบายเอาเปรียบสหรัฐ Trump มองด้วยว่า อเมริกาเปลืองตัวเกินไป ในการทำหน้าที่ตำรวจโลก แบกรับค่าใช้จ่ายทั้งหมดทางด้านการทหาร อยู่คนเดียว
ยุทธศาสตร์ของ Trump ในการดำเนินนโยบายต่างประเทศคือ การใช้ยุทธศาสตร์ทางธุรกิจที่เขามีประสบการณ์มาตลอดชีวิต คือ การเน้นนโยบายที่ practical หรือ pragmatic โดยในการเจรจา จะต้องเจรจาแบบนักธุรกิจ คือ go maximum ก่อนแล้วค่อยถอย กล้าเสี่ยงและพร้อมที่จะถอย ปรับเปลี่ยนนโยบายได้ตลอดเวลาตามสถานการณ์ และสร้างสถานการณ์ที่ฝ่ายตรงข้ามจะจับทางไม่ได้ คาดการณ์ไม่ได้ คือ unpredictable
และหลังจากที่เขาได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา Trump ก็ได้ดำเนินนโยบายตามที่เขาได้คิดไว้ ดังนี้
นโยบายเศรษฐกิจ
ในการแปลงยุทธศาสตร์มาสู่การปฏิบัติ ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา Trump ได้ดำเนินนโยบายเศรษฐกิจตามที่เขาเชื่อ คือ นโยบายต่อต้านการค้าเสรี ต่อต้านโลกาภิวัตน์ และนโยบายปกป้องทางการค้า
Trump ได้ถอนตัวสหรัฐออกจากข้อตกลง TPP ที่กำลังจะเป็น FTA ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และขู่ว่าจะถอนตัวออกจาก WTO ดำเนินมาตรการปกป้องทางการค้าอย่างสุดโต่ง โดยเน้นนโยบาย unilateralism หรือ เอกาภาคีนิยม คือเดินหน้าไล่บี้ฝ่ายเดียว
นโยบายปกป้องทางการค้าของ Trump นำไปสู่สงครามการค้ากับจีน ถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของนโยบายการค้าสหรัฐ ที่ในอดีต 70 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 สหรัฐเป็นตัวตั้งตัวตี ในการจัดตั้งระบบเศรษฐกิจโลก ภายใต้ฉันทามติวอชิงตัน ที่เน้นการค้าเสรีมาโดยตลอด แต่นโยบายการค้าของ Trump กลับต่อต้านการค้าเสรีอย่างเต็มที่
ในปี 2018 Trump เดินหน้าไล่บี้จีนอย่างหนัก สงครามการค้าจีนกับสหรัฐลุกลามบานปลาย โดย Trump ขึ้นภาษีสินค้าจีนมากถึง 250,000 ล้านเหรียญ และยังได้ทำสงครามเทคโนโลยีกับจีน กล่าวหาจีนว่า ขโมยทรัพย์สินทางปัญญา และขโมยเทคโนโลยีของสหรัฐ และได้ประกาศห้ามหน่วยงานราชการสหรัฐใช้โทรศัพท์ Huawei เพราะกลัวว่า Huawei จะครอบงำเครือข่าย 5G ของโลก
นอกจากนี้ Trump ยังได้เจรจาข้อตกลง NAFTA ใหม่ กับแคนาดาและเม็กซิโก โดยประเทศทั้งสอง ถูกไล่บี้อย่างหนัก เพื่อให้ยอมตามข้อเรียกร้องของ Trump โดยข้อตกลงฉบับใหม่ ซึ่งมีชื่อว่า U.S. – Mexico – Canada Agreement (USMCA) ก็ไม่น่าจะเป็น FTA อีกต่อไป เพราะมีมาตรการต่าง ๆ ที่ไม่ใช่มาตรการเปิดเสรีทางการค้าอยู่มากมาย และ Trump ก็กำลังจะเดินหน้าต่อ ในการไล่บี้ประเทศคู่ค้าทั่วโลก ให้ทำข้อตกลงกับสหรัฐในทำนองเดียวกัน
นโยบายความมั่นคง
สำหรับทางด้านความมั่นคง ในช่วงปลายปี 2017 Trump ได้ประกาศจุดยืนชัดเจนว่า จีนกับรัสเซียคือภัยคุกคาม และจะต้องดำเนินยุทธศาสตร์ปิดล้อม และไล่บี้ประเทศทั้งสอง นอกจากนี้ ศัตรูสำคัญของ Trump คือ อิหร่าน เกาหลีเหนือ และขบวนการก่อการร้ายสากล ด้วย
สำหรับนโยบายความมั่นคงของ Trump ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เน้นการเสริมสร้างกำลังทางทหารของสหรัฐ โดย Trump ได้เดินหน้าเพิ่มสมรรถนภาพทางทหารครั้งใหญ่ โดยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา งบประมาณทหารของสหรัฐมีมูลค่ากว่า 700,000 ล้านเหรียญต่อปี
Trump เดินหน้านโยบายปิดล้อมทางทหารต่อจีนและรัสเซียอย่างหนัก โดยเฉพาะจีน Trump ได้ประกาศยุทธศาสตร์ใหม่ต่อภูมิภาคชื่อ Indo-Pacific ซึ่งเน้นการปิดล้อมจีนอย่างเต็มที่ โดยได้เสริมสร้างกำลังทางทหารเพื่อปิดล้อมจีน กระชับความสัมพันธ์ทางทหารและขายอาวุธให้กับพันธมิตร สหรัฐได้มีการซ้อมรบทางทหารกับพันธมิตรในภูมิภาคกว่า 160 ครั้งต่อปี ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา สหรัฐได้ส่งรือรบและเครื่องบินรบเข้าไปลาดตะเวนในบริเวณทะเลจีนใต้ ซึ่งจีนอ้างว่าเป็นของจีน แต่สหรัฐอ้างว่าเป็นเขตน่านน้ำสากล และสหรัฐจะต้องปกป้องเสรีภาพในการเดินเรือไว้ รัฐบาล Trump ได้ประกาศกร้าวว่า พร้อมจะเผชิญหน้าทางทหารกับจีนในทะเลจีนใต้
สำหรับในตะวันออกกลาง Trump ก็ได้ปรับเปลี่ยนนโยบายหลายเรื่อง
• สนับสนุนอิสราเอลเต็มที่ในปัญหาปาเลสไตน์ และได้ตัดสินใจย้ายสถานทูตสหรัฐไปอยู่ที่กรุงเยรูซาเล็ม
• ในช่วงต้นปี 2017 Trump ได้เปิดฉากพร้อมใช้กำลังทางทหารในตะวันออกกลาง ด้วยการโจมตีฐานทัพของรัฐบาล Assad ด้วยขีปนาวุธ โดย Trump อ้างว่า เป็นการโจมตีโรงงานอาวุธเคมีของซีเรีย
• Trump ทำสงครามเพื่อบดขยี้ ISIS โดยได้ส่งทหารเข้าไปในอิรักและซีเรีย และทิ้งระเบิดทำลายฐานที่มั่นของ ISIS
• สำหรับในอัฟกานิสถาน ได้เพิ่มกำลังทหารเข้าไป และทิ้งระเบิดฐานที่มั่นของนักรบตอลีบัน
• สำหรับกรณีอิหร่าน Trump มีนโยบายต่อต้านอิหร่านอย่างสุดโต่ง เพื่อไม่ให้อิหร่านมีอาวุธนิวเคลียร์ และจะครอบงำตะวันออกกลางได้ Trump จึงได้ฉีกข้อตกลงปี 2015 ที่ยกเลิกการคว่ำบาตรอิหร่าน และประกาศมาตรการคว่ำบาตรอิหร่านครั้งใหม่ ทำให้สถานการณ์วิกฤตินิวเคลียร์ปะทุขึ้นมาอีก ในสุนทรพจน์รายงานผลงานประจำปีของรัฐบาล Trump ต่อสภา คองเกรสในช่วงต้นปีนี้ Trump ถึงกับกล่าวหาอิหร่านว่า เป็นประเทศที่สนับสนุนการก่อการร้ายรายใหญ่ของโลก และประกาศว่า สหรัฐได้ถอนตัวออกจากข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่าน และได้ออกมาตรการคว่ำบาตรอิหร่านอย่างเข้มข้นที่สุด
อย่างไรก็ตาม Trump เชื่อว่า สหรัฐจะต้องไม่เปลืองตัว เปลืองงบประมาณ ในสงครามที่ไม่สิ้นสุด ดังนั้น เขาจึงได้วางแผนถอนกำลังทหารบางส่วนออกจากตะวันออกกลาง เพื่อลดค่าใช้จ่ายลง โดยหลังจากปราบ ISIS ในซีเรียได้อย่างราบคาบแล้ว Trump จึงได้ประกาศถอนทหารสหรัฐจำนวน 2,000 คน ออกจากซีเรีย และได้เริ่มเจรจากับนักรบตอลีบัน เพื่อหาหนทางที่จะถอนทหารสหรัฐออกจากอัฟกานิสถานในอนาคต
สำหรับกรณีวิกฤตินิวเคลียร์เกาหลีเหนือ ในช่วงต้นปี 2018 หลังจากที่ Trump ได้ใช้มาตรการที่แข็งกร้าวกับเกาหลีเหนือ ทำให้เกาหลีเหนือรีบเดินหน้าพัฒนาอาวุธนิวคลียร์ และขีปนาวุธพิสัยไกล และขู่ว่าจะยิงขีปนาวุธติดหัวรบนิวเคลียร์ถล่มเกาะฮาวาย ท่าทีดังกล่าวของเกาหลีเหนือ ทำให้ Trump ยอมถอยและยอมเจรจากับผู้นำเกาหลีเหนือ Kim Jung Un ในช่วงเดือนมิถุนายมปีที่แล้ว อย่างไรก็ตาม แม้ว่าภายหลังการประชุม เกาหลีเหนือจะยอมยุติการทดลองอาวุธนิวเคลียร์และยุติการพัฒนาขีปนาวุธพิสัยไกล แต่ก็ไม่มีท่าทีว่าจะยอมปลดอาวุธนิวเคลียร์ของตน จึงทำให้ Trump ตัดสินใจที่เจรจากับ Kim Jung Un เป็นครั้งที่ 2 ในวันที่ 27-28 กุมภาพันธ์ปีนี้ ที่เวียดนาม
นโยบายแก้ปัญหาโลก
Trump มีแนวคิดในการต่อต้านการแก้ปัญหาของโลก ต่อต้านการที่สหรัฐจะเข้าไปแก้ปัญหาของโลก และต่อต้านเวทีพหุภาคีในการเจรจาแก้ไขปัญหาโลก จุดยืนของ Trump คือ จะไม่เปลืองตัว ในการให้สหรัฐมีบทบาทนำในการแก้ปัญหาโลก เพราะธุระไม่ใช่ Trump เน้นการแก้ปัญหาของสหรัฐก่อนที่จะไปแก้ปัญหาของคนอื่น ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา Trump มีท่าทีต่อต้านองค์การสหประชาชาติอย่างเต็มที่ และ Trump ได้ให้สหรัฐลาออกจากการเป็นสมาชิก UNESCO ไปแล้ว นอกจากนี้ Trump ยังต่อต้านการเจรจาในกรอบพหุภาคีทุกเวทีแม้กระทั่งกรอบ G7 และ G20 ซึ่งสหรัฐเป็นคนก่อตั้งขึ้นมาเอง ในการประชุม G7 และ G20 ในช่วงที่ผ่านมา Trump ก็มีท่าทีต่อต้านและไม่ให้ความร่วมมือในการกำหนดท่าทีร่วมกันในการแก้ปัญหาของโลก
Trump ยังได้ต่อต้านเต็มที่ ในกระบวนการความร่วมมือโลกในการแก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อน โดย Trump ได้ให้สหรัฐถอนตัวออกจากข้อตกลงปารีส ซึ่งเป็นข้อตกลงสำคัญในการจัดการปัญหาภาวะโลกร้อน Trump ถึงกับกล่าวว่า ปัญหาภาวะโลกร้อนเป็นเรื่องโกหก เป็นเรื่องไม่จริง ที่จีนสร้างเรื่องขึ้นมาในการทำลายเศรษฐกิจของสหรัฐ
กล่าวโดยสรุป จะเห็นได้ว่า นโยบายต่างประเทศของ Trump ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เป็นนโยบายที่ก้าวร้าว สุดโต่ง และส่งผลต่อ เศรษฐกิจโลก ความมั่นคงโลก และกระบวนการในการแก้ปัญหาของโลกในเกือบทุกเรื่อง เราคงต้องจับตาดูกันต่อว่า Trump จะเดินหมากนโยบายต่างประเทศของเขาต่อไปอย่างไร และจะกระทบต่อโลกมากน้อยเพียงใด ก็ยังไม่สามารถที่จะคาดการณ์ได้
ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ฉบับวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2562
ที่มารูปภาพ : https://rotterdamweekly.files.wordpress.com/2015/08/hero_image_main_2.jpg