COVID-19: ผลกระทบต่อเศรษฐกิจการเมืองโลก

สถานการณ์การระบาดของไวรัส COVID-19 ได้ก่อให้เกิดผลกระทบต่อโลกอย่างมหาศาล ขณะนี้ยังไม่มีความแน่นอนว่า การระบาดจะรุนแรงมากน้อยแค่ไหน และจะยืดเยื้อยาวนานแค่ไหน อย่างไรก็ตาม การระบาดของ COVID-19 ในครั้งนี้ ก็ได้ทำให้โลกเปลี่ยนไปอย่างหน้ามือเป็นหลังมือ ทั้งในประเทศ และระหว่างประเทศ ในประเทศ สังคมคงจะเปลี่ยนไป พฤติกรรมของคนในสังคมคงจะเปลี่ยนไป คนก็จะรักษาระยะห่างทางสังคมกัน หรือ social distancing ส่วนในระดับระหว่างประเทศก็เช่นเดียวกัน ประเทศต่างๆ สังคมโลก เศรษฐกิจโลก และการเมืองโลก คงจะเป็นลักษณะ social distancing ระหว่างประเทศ คือ การติดต่อปฏิสัมพันธ์ระหว่างประเทศจะลดลง และประเทศจะห่างกัน โดดเดี่ยวตัวเองกันมากขึ้น คอลัมน์กระบวนทรรศน์ในวันนี้ ผมจึงจะวิเคราะห์ผลกระทบจาก COVID-19 ต่อเศรษฐกิจโลกและการเมืองโลก ดังนี้
เศรษฐกิจโลก
เศรษฐกิจโลกคงจะได้รับความเสียหายอย่างหนัก ปฏิสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกำลังหยุดชะงัก การค้า การท่องเที่ยว การลงทุน ทุกอย่างหยุดหมด ซึ่งจะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างมหาศาลต่อเศรษฐกิจโลก
ระเบียบเศรษฐกิจโลกใหม่กำลังจะเกิดขึ้น จะมีลักษณะต่อต้านโลกาภิวัตน์ ชาตินิยมทางเศรษฐกิจ นโยบายปิดประเทศ โดดเดี่ยวประเทศ ปกป้องทางการค้า และความขัดแย้งทางการค้าจะรุนแรงมากขึ้น
ก่อนที่จะเกิดการระบาดของ COVID-19 สถานการณ์เศรษฐกิจโลกก็ง่อนแง่นอยู่แล้ว ทั้งนี้เพราะ ในโลกตะวันตก ได้มีแนวโน้มต่อต้านโลกาภิวัตน์มาหลายปีแล้ว โดยเฉพาะในสหรัฐ ในยุครัฐบาล Trump ที่มีนโยบายชาตินิยมขวาจัดแบบสุดโต่ง ได้มีมาตรการต่อต้านโลกาภิวัตน์ ปกป้องทางการค้า ปิดประเทศ และทำสงครามการค้ากับจีน และกำลังจะตัดขาดหรือ decouple ทางเศรษฐกิจกับจีน และปรับเปลี่ยนห่วงโซ่อุปทานโลก ในขณะที่ในยุโรปก็มีแนวโน้มนี้เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะการลาออกของอังกฤษจากสหภาพยุโรป การได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆของพรรคการเมืองขวาจัดที่มีแนวนโยบายแบบ Trump คือต้องการจะปิดประเทศและสกัดการเข้ามาของคนต่างชาติ Trump ก็พยายามจะสร้างกำแพงกั้นระหว่างสหรัฐกับเม็กซิโก และพยายามจะไม่ให้ชาวมุสลิมเข้าประเทศ
COVID-19 ได้ทำให้แนวโน้มดังกล่าวรุนแรงมากขึ้นอย่างมาก ไวรัสดังกล่าวจะเปิดโอกาสให้แนวคิดชาตินิยมขวาจัดได้รับความนิยมมากขึ้น เมื่อมีการระบาดของ COVID-19 ใหม่ๆ Trump ถึงกับทวิตว่า สถานการณ์ COVID-19 ชี้ให้เห็นว่า สหรัฐต้องการกำแพงกั้นประเทศมากที่สุดในตอนนี้ โดย Trump เรียก COVID-19 ว่า Chinese virus เพื่อตอกย้ำว่า ไวรัสดังกล่าวมาจากจีน มาจากนอกประเทศ และนี่ก็คือเหตุผลว่า ทำไม Trump ต้องการสร้างกำแพงปิดประเทศ
สำหรับการค้าโลกก็ได้รับผลกระทบอย่างหนัก และหลายประเทศในโลกได้ค้นพบว่า การพึ่งพาห่วงโซ่อุปทานซึ่งพึ่งพาการนำเข้าสินค้าจีนนั้น เป็นอันตรายอย่างยิ่ง Trump ได้ตอกย้ำว่า COVID-19 น่าจะเป็นแรงกดดันในบริษัทสหรัฐถอนการลงทุนจากจีนมากขึ้น รัฐมนตรีพาณิชย์ของสหรัฐถึงกับกล่าวว่า COVID-19 จะช่วยทำให้คนงานสหรัฐมีงานทำมากขึ้น เพราะการย้ายฐานการผลิตจากจีนกลับมาสหรัฐ
และที่น่าจะได้รับผลกระทบอย่างหนักคือห่วงโซ่อุปทานโลก ซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่จีน อาจมีการปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่ บริษัทต่างๆจะลดการพึ่งพาจีน และหันมาเพิ่มการผลิตภายในประเทศแทนการนำเข้า บริษัทสหรัฐคงจะเปลี่ยนห่วงโซ่อุปทาน ย้ายจากจีนมาประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เม็กซิโก ในขณะที่ประเทศยุโรป บริษัทยุโรปคงจะย้ายห่วงโซ่อุปทานมาที่ยุโรปตะวันออกเป็นหลัก
COVID-19 ยังส่งผลกระทบต่อบูรณาการทางเศรษฐกิจของโลก ที่เห็นชัดคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับสหภาพยุโรปหลังการระบาด สหภาพยุโรประส่ำระสายอย่างหนัก และไม่สามารถประสานความร่วมมือกับประเทศสมาชิกได้ แม้ว่า EU เป็นสหภาพทางเศรษฐกิจ และเป็นตลาดร่วม แต่พอมาถึงจุดวิกฤติ ทุกประเทศสมาชิกกลับปิดประเทศกันหมด และไม่มีใครช่วยเหลือใคร ฝรั่งเศส เยอรมนี ห้ามการส่งออกหน้ากากอนามัยไปยังประเทศ EU อื่น ที่น่าตกใจ คือ อิตาลีมีการระบาดอย่างหนัก อิตาลีจึงได้เรียกร้องให้ประเทศสมาชิก EU ให้ความช่วยเหลือทางการแพทย์ แต่สมาชิก EU 26 ประเทศ กลับไม่มีประเทศใดให้ความช่วยเหลืออิตาลีเลยแม้แต่ประเทศเดียว
ผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกโดยสรุป คือ การล่มสลายของระเบียบเศรษฐกิจโลกเก่า ที่เน้นโลกาภิวัตน์และการค้าเสรี และเรากำลังจะเข้าสู่ระเบียบเศรษฐกิจโลกใหม่ ที่เน้นนโยบายชาตินิยมทางเศรษฐกิจ การปิดประเทศ นโยบายปกป้องทางการค้า และการมองคนต่างชาติเป็นภัยคุกคาม รวมทั้งกำลังจะเป็นยุคสมัยแห่งการโดดเดี่ยวตัวเองทางเศรษฐกิจ วิกฤติครั้งนี้ ชี้ให้เห็นว่า ประเทศต่างๆคงจะต้องพึ่งตนเอง ไม่สามารถพึ่งประเทศต่างๆ หรือประเทศเพื่อนบ้านและพันธมิตรได้ เมื่อเกิดวิกฤติ กลายเป็นทุกประเทศต้องพึ่งตนเอง และเป็นยุคสมัยแห่ง “ตัวใครตัวมัน” จะเห็นได้ว่า ไม่มีความร่วมมือระหว่างประเทศเกิดขึ้นเลย ในการจัดการกับ COVID-19
การเมืองโลก
สำหรับผลกระทบของ COVID-19 ต่อการเมืองโลกนั้น ก็เช่นเดียวกับผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก คือทำให้ทุกอย่างหยุดหมด การทูตหยุด องค์การระหว่างประเทศหยุด ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหยุด
COVID-19 อาจจะทำให้ระเบียบโลกเปลี่ยนไป อาจจะทำให้โครงสร้างอำนาจโลกเปลี่ยนไป ก่อนเกิดการระบาด การเมืองโลกมีลักษณะของการแข่งขันกันระหว่างสหรัฐกับจีน โดยสหรัฐยังคงเป็นมหาอำนาจอันดับ 1 ของโลก ในขณะที่จีนก็ผงาดขึ้นมาเป็นมหาอำนาจอันดับ 2 ของโลกแข่งกับอเมริกา แต่ COVID-19 กำลังจะทำให้อำนาจของสหรัฐและตะวันตกตกต่ำลง ส่วนจีนที่สามารถหยุดยั้งการระบาดได้ กำลังที่จะกลับขึ้นมาผงาดอีกครั้งหนึ่ง
การระบาดของ COVID-19 ระบาดรุนแรงและหนักหน่วงในยุโรปและสหรัฐ ในขณะที่จีนมียอดผู้ติดเชื้อ 8 หมื่นคน แต่สหรัฐและยุโรปกลับมีคนติดเชื้อหลายแสนคนและการระบาดในตะวันตกก็ยังไม่หยุด
แนวโน้มที่เห็นได้ชัด คือ COVID-19 กำลังจะเป็นตัวเร่งให้มีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างอำนาจโลก จากตะวันตกมาเอเชียและจีนเร็วขึ้น จะเห็นได้ว่า ประเทศในเอเชียจัดการกับปัญหาการระบาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ อาทิ เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ไต้หวัน สิงคโปร์ รวมทั้งจีน แต่การจัดการกับโรคระบาดในยุโรปและสหรัฐถือว่าด้อยประสิทธิภาพมาก เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศในเอเชีย ซึ่งทำให้ตะวันตกสูญเสียยี่ห้อของตนเป็นอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม ธรรมชาติของการเมืองโลกที่คงจะไม่เปลี่ยน แม้ในยุค COVID-19 คือ การแข่งขันกันระหว่างมหาอำนาจ โดยเฉพาะจีนกับสหรัฐ
COVID-19 ได้ชี้ให้เห็นการไร้ประสิทธิภาพของสหรัฐภายใต้การนำของ Trump ที่เน้นการ go it alone ไม่สนใจใคร COVID-19 ทำให้สหรัฐสูญเสียการเป็นผู้นำโลกอย่างชัดเจน เพราะสหรัฐไม่ได้ออกมาเป็นผู้นำในการสร้างความร่วมมือโลก ในการจัดการกับปัญหานี้เลย
สถานะของสหรัฐในการเป็นผู้นำโลกในช่วง 70 กว่าปีที่ผ่านมา นอกจากการมีอำนาจทางทหารและทางเศรษฐกิจแล้ว สหรัฐยังมี soft power ความชอบธรรมในการเป็นผู้นำโลก ที่เกิดจากบทบาทในการเป็นผู้นำในการจัดการกับปัญหาโลกมาโดยตลอด แต่ในสถานการณ์ COVID-19 ชี้ให้เห็นถึงการที่ สหรัฐสูญเสียบทบาทในการเป็นผู้นำโลกอย่างสิ้นเชิง
ในขณะที่สหรัฐเพลี่ยงพล้ำ จีนก็ได้เดินหน้าและฉวยโอกาสจากความผิดพลาดของสหรัฐ ในการเข้ามาสวมบทบาทการเป็นผู้นำโลกในการจัดการกับ COVID-19 โดยได้จัดให้มีมาตรการเชิงรุกอย่างเต็มที่ ในการให้ความช่วยเหลือกับประเทศต่างๆทั่วโลก นอกจากนี้ จีนยังได้ประชาสัมพันธ์อย่างเต็มที่ เพื่อโฆษณาความสำเร็จของจีนในการจัดการกับ COVID-19 ให้โลกได้รับรู้ และตอกย้ำความล้มเหลวไร้ประสิทธิภาพของตะวันตก จีนได้เน้นว่า นโยบายที่เฉียบขาด มีประสิทธิภาพและความรวดเร็วในการต่อสู้กับ COVID-19 คือบทเรียนสำคัญของโลกที่จะต่อสู้กับไวรัสดังกล่าว
ในขณะที่ไม่มีประเทศสมาชิก EU ที่ให้ความช่วยเหลือกับอิตาลีเลย แต่จีนกลับรีบส่งบุคลากรทางการแพทย์และอุปกรณ์ทางการแพทย์ไปช่วยเหลืออิตาลีอย่างเต็มที่ นอกจากอิตาลีแล้ว จีนได้ให้ความช่วยเหลือ เซอร์เบีย ซึ่งประธานาธิบดีเซอร์เบียได้ออกมากล่าวซาบซึ้งในความช่วยเหลือของจีนเป็นอย่างมาก และกล่าวประชดประชันว่า เอกภาพของยุโรปเป็นเพียงแค่นิยาย เพราะไม่มีประเทศใดในยุโรปช่วยเหลือเซอร์เบียเลย ผู้นำของเซอร์เบียถึงกับกล่าวว่า “มีเพียงประเทศเดียวในโลกเท่านั้นที่ช่วยเรา นั่นก็คือจีน”
ในขณะที่จีนกำลังดำเนินนโยบายเชิงรุกอย่างเต็มที่ แต่รัฐบาล Trump กลับไม่ได้ฉายภาพบทบาทการเป็นผู้นำโลกในเรื่องนี้เลย ไม่มีแม้กระทั่งการประสานความร่วมมือกับพันธมิตร ในทางตรงข้าม สหรัฐกลับประกาศแบนไม่ให้มีการเดินทางเข้าสหรัฐจากยุโรป ในขณะที่จีนเปิดการรณรงค์ทางการทูตในเชิงรุก ด้วยการจัดประชุมผ่าน video conference กับหลาย 10 ประเทศ เพื่อถ่ายทอดข้อมูลและประสบการณ์ของจีนในการต่อสู้กับ COVID-19 การดำเนินนโยบายการทูตของจีนในครั้งนี้ จีนคงจะได้ใจ และได้คะแนนจากประเทศต่างๆไม่น้อยเลย
กล่าวโดยสรุป COVID-19 ได้ส่งผลกระทบอย่างมหาศาลต่อโลก ทั้งในแง่ของเศรษฐกิจโลกและการเมืองโลก คงต้องดูกันต่อว่า การระบาดจะลุกลามรุนแรงมากน้อยเพียงใดและจะส่งผลกระทบต่อโลกมากน้อยเพียงใด แต่ที่แน่ๆต่อไปนี้โลกจะไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว
ที่มา : คอลัมน์กระบวนทรรศน์ หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ฉบับวันที่ 27 มีนาคม 2563
ที่มารูปภาพ : https://www.adpt.news/2020/03/13/us-offers-drive-thru-covid19-testing/